แม้หุ้นจะร่วง ทำไม “หุ้น Palantir” ถึงพุ่งแรงในปี 2025? 

2025-04-25 | Palantir (PLTR) , Palantir Technologies , บทความวิเคราะห์ตลาดรายสัปดาห์ , หุ้น Palantir

ในปี 2025 ตลาดหุ้นดูคล้ายสนามรบ หุ้นเทคโนโลยีและกลุ่มเติบโตหลายตัวร่วงหนัก นักลงทุนต่างรีบเช็กคำสั่ง stop-loss กันรัวๆ แต่ท่ามกลางความปั่นป่วนนี้? “หุ้น Palantir” ไม่เพียงแค่ยืนระยะได้…แต่มันกำลังพุ่งขึ้น 

ในขณะที่ตลาดโดยรวมเข้าสู่โหมดปรับฐาน หุ้นของ Palantir Technologies (PLTR) กลับกลายเป็นดาวรุ่งประจำปี ราคาพุ่ง เขียวทั้งกระดาน พาดหัวข่าวเป็นบวก และวอลล์สตรีทก็พูดถึงไม่ขาดสาย 

แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ Palantir โดดเด่นสวนกระแสในปีที่หลายบริษัทกลับตกต่ำ? 

หัวใจหลักของธุรกิจ Palantir คือความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับหน่วยงานรัฐบาล และในปี 2025 ความสัมพันธ์นี้ไม่เพียงคงอยู่ แต่ยิ่งแน่นแฟ้นกว่าเดิม 

ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านกลาโหมทั่วโลก หลายประเทศเริ่มเทงบลงทุนกับระบบวิเคราะห์ข้อมูลสนามรบ ข่าวกรองด้วย AI และระบบเฝ้าระวังขั้นสูง ซึ่งเป็นจุดแข็งของ Palantir 

  • แค่ในไตรมาสแรกของปี บริษัทก็ประกาศคว้าสัญญาใหม่หลายฉบับ มูลค่าหลายล้านดอลลาร์ กับกระทรวงกลาโหมในยุโรปและเอเชีย 
  • ขณะเดียวกัน ความร่วมมือระยะยาวกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ก็ถูกต่อสัญญาด้วยดีลมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ 

ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีฝั่งผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากการใช้จ่ายที่ลดลงและงบโฆษณาที่ถูกตัด Palantir กลับมีลูกค้าภาครัฐที่ยิ่งอัดงบเพิ่ม และมันก็สะท้อนชัดในงบการเงินของบริษัท 

ใช่, NVIDIA อาจเป็นหน้าตาของกระแส AI แต่ Palantir คือกระดูกสันหลังของมัน 

แพลตฟอร์ม Foundry และ AIP ของ Palantir เริ่มถูกใช้งานจริงในภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสุขภาพ โลจิสติกส์ และการผลิต นี่ไม่ใช่แค่กระแส แต่เป็นการใช้งานจริงที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจให้กับองค์กร 

ในปี 2024 Palantir หันมาโฟกัสกับ AI สำหรับองค์กรอย่างจริงจัง และในตอนนี้: 

  • แพลตฟอร์ม Artificial Intelligence Platform (AIP) ที่หลายคนจับตามอง กำลังถูกใช้โดยหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่เวชภัณฑ์ไปจนถึงพลังงาน 

นักลงทุนเริ่มตระหนักแล้วว่า Palantir ไม่ใช่หุ้นกระแสอีกต่อไป แต่คือบริษัทที่กำลัง “ทำจริง เห็นผลจริง”  

นี่คือประโยคที่ไม่ได้ยินบ่อยในโลกของหุ้นเทคโนโลยีสายเติบโต: Palantir มีกำไร และมีกำไรอย่างต่อเนื่อง 

หลังจากเคยถูกมองว่าเป็นบริษัทที่เผาเงินไม่หยุด Palantir พลิกเกมสำเร็จในปี 2023 และในปี 2025 ก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงทางการเงินที่แท้จริง 

  • มีกำไรตามหลักการบัญชี GAAP ต่อเนื่อง 7 ไตรมาสติดกัน 
  • อัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 75% 
  • กระแสเงินสดอิสระแข็งแรง และไม่มีหนี้สิน 

ทั้งหมดนี้ทำให้ Palantir กลายเป็นหนึ่งในบริษัทไม่กี่รายที่ยืนได้อย่างมั่นคง ในสภาพตลาดที่เงินสดคือสิ่งสำคัญ นักลงทุนรายใหญ่ก็กำลังหันมาให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงิน เฮดจ์ฟันด์ หรือกองทุนระยะยาว ที่อยากลงทุนใน AI แบบลดความเสี่ยงจากหุ้นสายสตาร์ทอัพ 

ลองดูกราฟแบบภาพรวม จะเห็นได้ชัดว่าทำไมนักเทรดถึงแห่กันเข้ามาซื้อ Palantir หลังจากที่ราคานิ่ง ๆ อยู่ในกรอบแคบมาตลอดปี 2023 ถึงต้นปี 2024 ตอนนี้หุ้นทะลุแนวต้านสำคัญที่ 45 ดอลลาร์ไปแล้ว และยังคงเดินหน้าต่อแบบไม่มีท่าทีจะถอย 

ล่าสุด Palantir เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแนวรับที่ 60 ดอลลาร์ และแนวต้านที่ 100 ดอลลาร์ ฝั่งกระทิงกำลังรอให้ราคาทะลุ 100 ดอลลาร์อย่างชัดเจน เพื่อดันไปสู่จุดสูงสุดใหม่ 

นักเทรดรายย่อยชอบเนื้อเรื่องของหุ้นตัวนี้ สถาบันชอบตัวเลขพื้นฐาน ส่วนสายเทรดโมเมนตัมชอบรูปแบบกราฟที่ชัดเจน 

ในขณะที่หุ้นเทคโนโลยีหลายตัวกำลังดิ่งลง Palantir กลับวิ่งทำจุดสูงใหม่และจุดต่ำใหม่ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง เป็นเทรนด์ขาขึ้นที่ textbook มาก และกำลังดึงดูดเม็ดเงินจากทุกกลุ่มนักลงทุน 

งดูแปลก แต่สิ่งที่ถ่วงตลาดส่วนใหญ่ไว้ อย่างสงคราม ความผันผวน และแนวโน้มลดโลกาภิวัตน์ กลับกลายเป็นแรงส่งให้กับ Palantir 

  • งบกลาโหมที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก กำลังผลักดันความต้องการเทคโนโลยีด้านการทหาร 
  • กระแสการปกป้องข้อมูลภายในประเทศ ทำให้หลายชาติเริ่มมองหาโซลูชัน AI แบบ localized ซึ่งเป็นสิ่งที่ Palantir เชี่ยวชาญ 
  • ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทำให้บริษัทต่าง ๆ หันมามองหาเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ระบบอัตโนมัติ และการคาดการณ์ล่วงหน้า ซึ่งล้วนเป็นจุดแข็งของ Palantir 

พูดง่าย ๆ คือ ในขณะที่บริษัทอื่นกำลังฝ่าพายุเศรษฐกิจ Palantir กลับเติบโต 

นี่แหละคือคำถามที่หลายคนอยากรู้ ด้วยราคาหุ้นที่ขึ้นมากกว่า 20% ตั้งแต่ต้นปี หลายคนเริ่มลังเลว่ายังเข้าทันไหม 

คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับมุมมองของคุณ 

ถ้าหวังเก็งกำไรระยะสั้น ก็ต้องยอมรับความผันผวน เพราะ Palantir เป็นหุ้นที่เหวี่ยงแรงอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณเชื่อในอนาคตระยะยาวของโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI การเติบโตของภาครัฐ และการใช้งานในองค์กรต่าง ๆ จุดนี้อาจยังถือว่าเป็นช่วงต้นของการเติบโตก็ได้ 

ล่าสุด นักวิเคราะห์จากวอลล์สตรีทเริ่มปรับเป้าราคาขึ้น บางรายมองไว้สูงถึง 160 ดอลลาร์ หากแนวโน้มการเติบโตยังเดินหน้าต่อแบบนี้ 

ไม่มีหุ้นตัวไหนที่ราคาขึ้นได้แบบไม่มีสะดุด และ Palantir เองก็มีจุดที่ต้องระวัง 

อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ของหุ้นนี้ค่อนข้างสูง อยู่ที่กว่า 70 เท่า ซึ่งแปลว่าตลาดกำลังคาดหวัง “ผลงานไร้ที่ติ” ถ้าพลาดเป้า หรือพลาดสัญญาสำคัญ อาจเกิดแรงขายทันที 

คู่แข่งอย่าง Snowflake และ Databricks ก็กำลังจ้องชิงตลาดองค์กรแบบเดียวกัน ส่วนดีลภาครัฐที่ดูน่าสนใจ ก็ใช่ว่าจะได้ต่อเนื่องเสมอ หากมีการตัดงบหรือเลื่อนแผน ก็อาจกระทบราคาหุ้นได้ 

นักลงทุนและเทรดเดอร์ควรจับตารายงานผลประกอบการวันที่ 5 พฤษภาคมให้ดี เพราะสิ่งที่บริษัทพูดถึง “แนวโน้มอนาคต” อาจส่งผลต่อราคาหุ้นมากกว่าตัวเลขในงบจริงเสียอีก 

การพุ่งแรงของ Palantir ในปี 2025 ไม่ใช่แค่เรื่องโชคดีในช่วงตลาดที่อ่อนแอ แต่เป็นผลจากการวางกลยุทธ์อย่างชาญฉลาด การใช้งานจริงที่เห็นผลและการดำเนินงานที่เริ่มจับต้องได้ 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หุ้นตัวนี้เป็นสนามรบระหว่างฝั่งที่เชื่อในวิสัยทัศน์กับฝั่งที่มองว่าแค่กระแส แต่วันนี้ตัวเลขกำลังยืนยันเรื่องราวความสำเร็จ 

ในขณะที่หุ้นเทคโนโลยีหลายตัวยังพยายามหาจุดต่ำสุด Palantir กลับเดินหน้าทำจุดสูงใหม่อย่างมั่นคง 

สรุปง่ายๆ คือ ไม่ใช่ทุกหุ้นจะร่วง และ Palantir อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ฉลาดที่สุด สำหรับคนที่อยากลงทุนในเศรษฐกิจยุค AI 

อ่านบทความวิเคราะห์ตลาดเชิงลึกเพิ่มเติม


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ D Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-12-26 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

คาดการณ์ ปี 2026 ‘ทองคำและเงิน’ เป็นขาขึ้นหรือขาลง?  

ตอนนี้ทองคำและเงินยังคงเดินหน้าทำลายสถิติใหม่ไม่หยุด เรียกว่าพุ่งทะลุ All-Time High กันแทบจะสัปดาห์เว้นสัปดาห์เลยทีเดียว จากตอนแรกที่ดูเหมือนเป็นการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป กลายเป็นว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงการแรลลี่ที่แข็งแกร่งที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายทศวรรษ จนดึงดูดสายตาทั้งนักลงทุนสายถือยาวและเดย์เทรดให้หันมามองกันหมด  คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ ในปี 2026 เทรนด์นี้จะยังไปต่อได้ไหม หรือราคาเริ่มวิ่งนำหน้าปัจจัยพื้นฐานไปไกลเกินแล้ว?   จนถึงตอนนี้ ปัจจัยต่างๆ ยังคงซัพพอร์ตราคาได้ดี ทั้งแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง ความคาดหวังเรื่องดอกเบี้ยที่เปลี่ยนไป ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และความกังวลในค่าเงินฟีแอต ทั้งหมดนี้คือเชื้อเพลิงที่ทำให้ดีมานด์พุ่งสูงขึ้น เมื่อมองไปถึงปี 2026 ตลาดจึงต้องมาเช็คกันว่าแรงส่งเหล่านี้จะยังทำงานอยู่หรือไม่  ทำไมทองคำและเงินถึงทำสถิติสูงสุดใหม่?  การที่โลหะมีค่าพุ่งแรงขนาดนี้ เกิดจากการประสานแรงของปัจจัยมหภาคหลายตัวพร้อมกัน:  พอปัจจัยเหล่านี้มารวมกัน ก็ทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือทองคำและเงิน (ซึ่งไม่มีปันผลหรือดอกเบี้ย) ลดน้อยลง กลายเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและน่าดึงดูดกว่าการเก็บเงินในระบบการเงินปกติ  ในปี 2026 Fed จะลดดอกเบี้ยหนักกว่าเดิมไหม?  คำถามยอดฮิตที่หลายคนเสิร์ชกันคือ “การลดดอกเบี้ยส่งผลยังไงกับทองและเงิน?”  ตอนนี้ตลาดโฟกัสไปที่นโยบายการเงินเฟสถัดไป ถ้าเงินเฟ้อยังคุมได้และตัวเลขจ้างงานชะลอตัวต่อเนื่อง โอกาสที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยเพิ่มก็มีสูง ซึ่งตามสถิติแล้ว ช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาลงมักจะเป็น “สวรรค์” ของทองคำและเงิน โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ที่ตลาดปรับความคาดหวังได้เร็วกว่าตัวนโยบายจริงเสียอีก  ตัวเลข CPI และการจ้างงาน สำคัญแค่ไหน?  สองตัวนี้คือหัวใจหลักของแนวโน้มราคาเลย:  หากเทรนด์นี้ยังอยู่ เราอาจได้เห็นราคาทองและเงินพุ่งรับข่าวล่วงหน้าไปก่อนที่นโยบายจะประกาศใช้จริงเสียอีก  สัญญาณจาก Gold-to-Silver Ratio บอกอะไรเรา?  ดัชนี Gold-to-Silver Ratio คือตัววัดว่าต้องใช้เงินกี่ออนซ์เพื่อซื้อทองคำหนึ่งออนซ์ ตามประวัติศาสตร์แล้ว ค่าเฉลี่ยของดัชนีนี้มักจะต่ำกว่าระดับปัจจุบันมาก ถ้าระดับนี้ยังสูงอยู่ แปลว่าเงิน ยังถูกมากเมื่อเทียบกับทอง ถ้าระดับนี้ต่ำ แปลว่าเงินเริ่มแพงแล้ว   ปัจจุบันดัชนีนี้ยังอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวค่อนข้างมาก ซึ่งสะท้อนว่าที่ผ่านมา “เงิน” วิ่งตาม “ทอง” ไม่ทัน แม้จะไม่ได้ยืนยันว่าราคาต้องพุ่งขึ้นแน่นอน แต่มันชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของมูลค่าที่น่าจับตามอง หากตลาดทองยังพีคอยู่แบบนี้ ส่วนต่างตรงนี้อาจจะแคบลงได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะมหภาคและพฤติกรรมของนักลงทุนด้วย  เป้าหมายราคาปี 2026: จะไปได้ไกลแค่ไหน?  แทนที่จะฟันธงเป๊ะๆ ตลาดมักจะมองเป็นสถานการณ์ต่างๆ มากกว่า แน่นอนว่าไม่ใช่การการันตี แต่มันคือภาพสะท้อนว่าตลาดเคยทำอะไรแบบนี้มาแล้วในช่วงที่วัฏจักรเศรษฐกิจเอื้ออำนวย  ระวังจุดเปลี่ยนช่วงครึ่งหลังของปี 2026  แม้ช่วงต้นปีจะดูสดใส แต่ต้องระวังตัวแปรที่อาจเปลี่ยนเกมได้ เช่น:  ต้องไม่ลืมว่าโลหะมีค่าวิ่งตาม “ความคาดหวัง” ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่ออกมาแล้วเท่านั้น  สรุปแล้ว ปี 2026 น่าซื้อหรือน่าขาย?  ภาพรวมตอนนี้ยังดูเป็นบวก สำหรับทองคำและเงิน โดยเฉพาะในช่วงต้นปี แต่หน้างานก็สามารถเปลี่ยนได้เสมอตามสไตล์ตลาดที่เคลื่อนที่ด้วยปัจจัยมหภาค ปี 2026 จึงน่าจะเป็นปีที่ราคาวิ่งตามสัญญาณนโยบายและข้อมูลเศรษฐกิจแบบติดขอบสนาม ใครที่เป็นสายเทรดต้องติดตามความเชื่อมั่นของตลาดให้ดี 

article-thumbnail

2025-12-18 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ตลาดเกิดอะไรขึ้นในปี 2025? หุ้นเด่น หุ้นร่วง และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 

ถ้าปี 2024 คือการรอจังหวะ ปี 2025 คือการปรับฐานราคาครั้งใหญ่  ตลอดทั้งปี ตลาดมีการสลับสับเปลี่ยนธีมกันไปมาทั้งในแง่ของ :   หุ้นเติบโต (Growth) ชะลอตัวลงพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาแรงอีกครั้ง  สินทรัพย์ปลอดภัยกลับมาเป็นที่ต้องการ  ความผันผวนยังคงสูงลิ่วในทุกสินทรัพย์  ปี 2025 ไม่ได้มีเทรนด์เดียวที่ชัดเจน แต่มีทั้งผู้ชนะที่โดดเด่น หุ้นที่ร่วงแรง และการเปลี่ยนผู้นำตลาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว3 อันดับหุ้นที่ทำกำไรสูงสุดในปี 2025   Top 3 หุ้นเด่น ประจำปี 2025  แม้ว่ากลุ่มผู้นำในตลาดจะหมุนเวียนไปมาตลอดปี แต่มี 3 หุ้นที่ดึงดูดความสนใจได้อย่างต่อเนื่องและทำผลงานได้ดีกว่าตลาดโดยรวม  Micron Technology (MU)  Micron (MU) พุ่งขึ้นราว 200% จากจุดต่ำสุดในปี 2025 ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในปีนั้น  Micron ได้รับแรงหนุนหลักจากความเชื่อมั่นครั้งใหม่ในวงจรเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งราคาหน่วยความจำที่นิ่งขึ้น ความต้องการที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่ทำให้มองเห็นอนาคตได้ชัดเจนขึ้น และความคาดหวังเกี่ยวกับการลงทุนรอบใหม่ (capex) ช่วยเปลี่ยนมุมมองนักลงทุน ผลงานของ MU สะท้อนธีมใหญ่ในปี 2025 คือ ความแข็งแกร่งแบบเลือกสรรในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ไม่ใช่การเหมาซื้อทั้งกลุ่ม  Palantir Technologies (PLTR)  Palantir Technologies (PLTR) ทะยานขึ้นกว่า 200% จากจุดต่ำสุดในปี 2025 คล้ายกับ MU  Palantir ยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีคนพูดถึงมากที่สุดแห่งปี การมุ่งเน้นที่สัญญาภาครัฐ ซอฟต์แวร์องค์กร และการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำให้มันยังอยู่ในความสนใจแม้ในช่วงที่หุ้นเทคโนโลยีโดยรวมมีการปรับฐาน ความแข็งแกร่งของ PLTR ตอกย้ำว่า โมเดลรายได้ประจำและกรณีการใช้งานที่ชัดเจน คือสิ่งที่ตลาดให้รางวัลเมื่อนักลงทุนเลือกสรรมากขึ้น  Advanced Micro Devices (AMD)  AMD ได้เปรียบจากการวางตำแหน่งในตลาดศูนย์ข้อมูล (Data Centers) อีกทั้งยังมี AI และคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง แม้ว่าการแข่งขันในตลาดชิปจะดุเดือด แต่ AMD ก็สามารถรักษาความเกี่ยวข้องในกระแส AI ได้ และหลีกเลี่ยงการแกว่งตัวของความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงที่เห็นในหุ้นเก็งกำไรอื่นๆ3 อันดับหุ้นที่ขาดทุนสูงสุดในปี 2025 […]

article-thumbnail

2025-12-12 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

Santa Claus Rally ส่อแววสะดุด: ทั่วโลกลุ้นการตัดสินใจของเฟด 

สำคัญ: เนื้อหานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับ Santa Claus Rally เท่านั้น และไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์และ CFD มีความเสี่ยงสูงต่อการขาดทุน  เทศกาลแห่งความสุขมาถึงแล้ว พร้อมกับสิ่งที่ชาววอลล์สตรีทรอคอย นั่นคือ Santa Claus Rally (ปรากฏการณ์หุ้นขึ้นส่งท้ายปี)  แต่ปีนี้ ความสุขนั้นอาจต้องเจอทางตัน เพราะมีด่านสำคัญคือ การตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยของเฟด ในวันที่ 11 ธันวาคม ทำให้นักเทรดทั่วโลกตั้งคำถามเดียวกันว่า เฟดจะยอมเปิดทางให้เกิด Santa Claus Rally หรือจะดับฝันนี้ลง?  ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกว่าเฟดจะชี้ชะตาเดือนธันวาคมได้อย่างไร เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการแรลลี่รอบนี้คืออะไร และทำไมมันถึงมีสถิติที่น่าสนใจขนาดนี้  Santa Claus Rally คืออะไร?  Santa Claus Rally หมายถึงช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวเป็นขาขึ้นตามประวัติศาสตร์ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมยาวไปจนถึงสองวันแรกของเดือนมกราคม นี่คือหนึ่งในเทรนด์ตามฤดูกาลที่โด่งดังที่สุดของวอลล์สตรีท โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของบรรยากาศการลงทุน, แรงขายเพื่อลดหย่อนภาษีที่น้อยลง, การมองโลกในแง่ดีช่วงวันหยุด, และปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลง  ทำไมถึงเกิดขึ้น  นักวิเคราะห์ตลาดมักชี้ไปที่ปัจจัยผสมผสานเหล่านี้: แม้สาเหตุที่แท้จริงจะยังเป็นที่ถกเถียง แต่ข้อมูลผลตอบแทนนั้นยากที่จะปฏิเสธ  สถิติย้อนหลัง: ธันวาคมคือหนึ่งในเดือนที่แข็งแกร่งที่สุดของตลาด  1. ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.3% นับตั้งแต่ปี 1927  ทำให้ธันวาคมเป็นเดือนที่แกร่งที่สุดเดือนหนึ่งของปี ชนะกันยายนที่มักจะแย่ที่สุดแบบขาดลอย  2. โอกาสชนะสูงถึง 72.5% เกือบ 3 ใน 4 ของเดือนธันวาคมในอดีต จบลงด้วยการปิดบวก (เขียว)  นี่คืออัตราการชนะที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆ โดยเกือบ 3 ใน 4 ของเดือนธันวาคมปิดตลาดในแดนเขียว  นี่คือเหตุผลที่เทรดเดอร์ชอบพูดว่า: “เมื่อซานต้ามาเยือนวอลล์สตรีท หุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้น”  ทำไม Santa Claus Rally ถึงมีความเสี่ยงในปี 2025?  ปกติแล้ว ปัจจัยฤดูกาลจะช่วยดันตลาดได้สบายๆ ตราบใดที่ไม่มีอะไรใหญ่ๆ มาขวางทาง แต่ปีนี้มี “ก้อนหินก้อนใหญ่” ขวางอยู่  นั่นคือ “ประชุมเฟด 11 ธันวาคม”  ตลาดไม่ได้แค่จับตามอง แต่กำลัง “กลั้นหายใจ” ลุ้นตัวโก่ง  ทำไมเฟดถึงคุมเกมรอบนี้:  1. ลดดอกเบี้ย vs คงดอกเบี้ย : สถาการณ์ตลาดขึ้นอยู่กับสิ่งนี้   ถ้าเฟดส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยต้นปี 2026 สินทรัพย์เสี่ยงจะพุ่งทยานแน่ๆ (คอนเฟิร์ม Rally)   แต่ถ้าเฟดมาสายแข็ง (Hawkish) เตือนเรื่องเงินเฟ้อ การแรลลี่อาจกลายเป็นการเทขายหนีตายแทน  2. นักลงทุนต้องการความชัดเจน  หุ้นที่ขึ้นมาตอนนี้ยังดู “กล้าๆ กลัวๆ” ถ้าเฟดให้สัญญาณ “ไปต่อ” เงินที่รอนอกสนามจะไหลกลับเข้ามาทันที  3. Bond yields คือตัวกำหนด  yields ต่ำ = หุ้นวิ่ง   yields สูง = กดดันหุ้นเทคและสินทรัพย์เสี่ยง   ซึ่งคำพูดเฟดจะสั่งซ้ายหันขวาหันให้ยีลด์ได้ทันที  ตลาดต้องการอะไรจากเฟด เพื่อฉลองให้กับ Rally?  เพื่อให้กราฟพุ่งรับปีใหม่ นักลงทุนขอแค่:  1. โทนที่ผ่อนคลาย  แค่ยืนยันว่า “ขาขึ้นดอกเบี้ยจบแล้ว” ก็พอใจแล้ว  2. คลายกังวลเงินเฟ้อ  ถ้าเฟดมองว่าเงินเฟ้อลงอย่างยั่งยืน ตลาดจะกล้าลุย  […]